นัยน์ตากับคอมพิวเตอร์

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

* ลักษณะการทำงานของนัยน์ตา
* อาการที่นัยน์ตาถูกใช้อย่างหักโหม
* ป้องกันและบรรเทาอาการปวดตา
* นัยน์ตาแห้งไร้ความชุ่มชื้น
* ตัวบ่งบอกเกี่ยวกับสายตา
* คุณต้องการแว่นตาหรือไม่
* ปัญหาที่มักเกิดกับนัยน์ตา
* อาการเตือนเมื่อต้องการแว่นตา
* การทดสอบสายตา
* แว่นตาและคอนแทคเลนส์
* ส่งท้าย

จากที่เรา ๆ ท่าน ๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แน่นอนย่อมมีผลกับนัยน์ตา ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา พอจะแจกแจงได้ดังนี้

* ความเสี่ยงภัยจากการใช้เวลาทำงานส่วนใหญ่กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นหนทางที่ก่อให้เกิดอันตรายกับนัยน์ตา
* ความไม่พอเพียงหรืออันตรายที่เกิดจากแสงและสภาพบนจอภาพ
* สภาพของนัยน์ตาที่แย่อยู่ก่อนแล้วรวมทั้งสภาพการทำงาน
* การใช้นัยน์ตาเพ่งมองหรือจ้องมองเค้นของนัยน์ตา

ลักษณะการทำงานของนัยน์ตา
สาเหตุที่พบบ่อยในการทำให้เกิดอาการเมื่อยตาหรือปวดตา นั่นก็คือการที่เราพยายามใช้นัยน์ตาในการมองภายใต้สภาวะที่เสี่ยงภัยหรือเป็นอันตรายกับนัยน์ตา การทำงานของนัยน์ตาถูกควบคุมโดยกล้ามเนื้อตา ซึ่งกล้ามเนื้อจะทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยและรัดเกร็ง สำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พยายามใช้นัยน์ตาในการมองแต่ละวันนั้นคุณอาจจะต้องตกใจว่านัยน์ตานั้นมีการ 30,000 ครั้ง/วัน กล้ามเนื้อตาที่ถูกใช้ในการมองข้อความบนกระดาษหน้าหนึ่ง, การกระตุกของจอภาพ, การปรับสายตาในการมองสิ่งต่าง ๆ หรือเปลี่ยนโฟกัสในการมองและกลับมามองที่หน้าจออีกครั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของกล้ามเนื้อตาทั้งสิ้น
การพิมพ์ตัวอักษรที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์ในสภาพการทำงานที่หลอดไฟในห้องมีความสว่างมากเกินwb และทำให้จอภาพของคุณมองไม่ชัดเหมือนหมอกมาบดบังอยู่หน้าจอนั่น เกิดจากการสะท้อนของแสงที่ตกกระทบกับจอคอมพิวเตอร์ของคุณ ทำให้ต้องมีการเพ่งไปที่จอภาพเป็นระยะเวลานานในการทำงานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีการเลื่อนโฟกัสของสายตาที่จ้องมองบนจอภาพ เพื่อทำการอ่านข้อความบนจอภาพซึ่งได้จากการพิมพ์ลงไปบนคีย์บอร์ด จากสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยตาหรือปวดตานั้นยังไม่อาจบอกแน่นอนว่าเป็นสาเหตุใดที่แท้จริง บางอาการก็เกิดจากการเครียดกับการทำงานหรือการติดเชื้อ ฉะนั้นเราจึงไม่ควรรีรอในการปรึกษาหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญในการดูแลรักษานัยน์ตาหรือจักษุแพทย์

อาการที่นัยน์ตาถูกใช้อย่างหักโหม

* การมองเห็นสี
เมื่อมีการจ้องดูที่จอเป็นระยะเวลานาน ๆ ซึ่งตัวอักษรบนจอมีการแสดงสีเป็นสีเขียวบนพื้นจอดำ คุณจะรู้สึกว่าการมองเห็นสีนั้นยากขึ้นเมื่อคุณลองมองไปที่อื่นหลังจากที่มองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ถูกเรียกว่า "The McCulloch afterimage" ที่เกิดจากปริมาณของสีเคมีพิเศษที่อยู่ในเรตินาลดลง อย่างไรก็ตามนัยน์ตาก็จะสร้างสีให้เกิดใหม่ได้ในไม่ช้าหลังจากที่สีเคมีดังกล่าวขาดหายไปชั่วขณะหนึ่ง
* การมองเห็นภาพซ้อน
การมองเห็นภาพซ้อนเกิดจากกกล้ามเนื้อตาที่ควบคุมการรวมกันของภาพที่จุด ๆ เดียว ที่ตาทั้งสองข้างจะรวมภาพที่จุด ๆ หนึ่ง แต่เหมือนกับมีบางสิ่งมาอยู่ใกล้ ๆ กับจุดโฟกัสนั้น เมื่อเราพยายามมองก็จะทำให้เกิดเป็นภาพซ้อน ๆ กัน ซึ่งมักพบได้บ่อย ๆ ภาพที่เห็นซ้อน ๆ กันนี้บางครั้งก็ไม่รู้สึกหรือไม่เกิดขึ้นโดยตรง แต่จะรู้สึกปวดหัวหรือเกิดอาการล้านัยน์ตา ภาพซ้อนก็เป็นอาการหนึ่งของความเครียดทางสุขภาพนัยนต์ตาเช่นกัน ถ้าพบว่าเห็นภาพซ้อนปรากฎทันทีหรือเป็นอยู่เรื่อย ๆ คุณควรจะไปพบหรือปรึกษากับจักษุแพทย์ทันที
* ปัญหาจากโฟกัส
เมื่อกล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary) เกิดอาการล้าหรือตึงเครียด ซึ่งกล้ามเนื้อ ciliary เป็นกล้ามเนื้อที่มีความสัมพันธ์ระหว่าง ciliary body กับโครงสร้างของตาโดย ciliary body จะมีลักษระเหมือนกับเยื่อหุ้มหลอดเลือดที่มีความหนาอยู่ระหว่างส่วนที่เรียกว่า คอรอยด์ (choriod) และม่านตา (iris) ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อซิเลียรีเกิดอาการดังกล่าวก็จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นจุดโฟกัสของภาพนั้นได้อย่างสมบูรณ์ อาการที่เกิดขึ้นกับนัยน์ตาที่เมื่อยล้าหรือเกิดจากการเค้นจ้องจะทำให้ความสามารถในการกำหนดโฟกัสของสายตาwbr>w ในส่วนของกล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary) หากต้องถูกใช้งานอย่างหนักโดยการทำงานอย่างซ้ำ ๆ เพื่อเลื่อนโฟกัสมองตามตัวอักษรที่พิมพ์หรือกวาดสายตาตามตัวอักษรที่พิมพ์บนจอภาพ หรือการที่พยายามมองอยู่ที่โฟกัสเดิมเป็นเวลานาน ๆ ก็เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการล้าและอาจทำให้สายตาหรือกล้ามเนื้อส่วนนี้เสื่อมไปด้วย
* อาการปวดหัว
เมื่อคุณต้องใช้สายตาอย่างหนักโดยการเค้นหรือจ้องมองเขม็งเป็นเวลานาน ๆ บนจอคอมพิวเตอร์ คุณก็อาจจะเกิดอาการปวดหัว ซึ่งคอมพิวเตอร์กับอาการปวดหัวนั้นเกิดจากความเครียดที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อในบริเวณคอและบริเวณศีรษะเกิดความตึงเครียด และที่พบได้ทั่ว ๆ ไปก็คือ ส่วนของขมับ อาการปวดหัวนี้อาจไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่เกิดจากความเมื่อยล้าของนัยน์ตา แต่เป็นผลข้างเคียงจากความพยายามในการจ้องมองในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม หรือจากการพยายามที่จะมองตำแหน่งนั้น ๆ หรือเอียงศีรษะเพื่อที่จะมองให้เห็นทั้งสองจุดโฟกัสที่อยู่ในตำแหน่งที่คงที่หรือกำลังเคลื่อนที่ ล้วนแล้วแต่ทำให้กล้ามเนื้อสายตาเกิดอาการล้า กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ควบคุมโดยตรง "กล้ามเนื้อควบคุมม่านตา (iris)" ซึ่งควบคุมการผ่านเข้าของแสง และ "กล้ามเนื้อซิเลียรี (ciliary)" ที่ควบคุมการทำงานของเลนส์เพื่อที่จะทำให้การเปลี่ยนระยะของโฟกัสหรือทำการปรับโฟกัสของเลนส์ หากสายตาของคุณมีโฟกัสที่สั้นหรือสายตาสั้น ก็จะทำให้คุณปวดหัว และมีอาการเมื่อยล้านัยน์ตาได้ง่าย

ป้องกันและบรรเทาอาการปวดตา
คุณสามารถที่จะป้องกันอาการปวดตาด้วยตัวคุณเองโดยการเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์, สภาพแวดล้อมต่าง ๆ และบางครั้งอาจจะต้องทำตามตัวอย่างต่อไปนี้

* หยุดพักสายตา
หยุดพักหรือเปลี่ยนตารางเวลาการทำงานใหม่ เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของประสาทตา The National Institute of Occupational Safety and Health (NIOSH) ได้แนะนำให้มีการหยุดพักสายตาโดยจะหยุดพักสายตาครั้งละ 15 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ซึ่งจัดว่าเป็นระดับปานกลางสำหรับการทำงานที่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า The Video Display Terminal (VDT) หรือหยุดพักทุก ๆ ชั่วโมงเพื่อลดการเสี่ยงภัยจากจอภาพ ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็ได้แนะนำว่าควรจะมีการหยุดพักบ่อย ๆ โดยแต่ละครั้งใช้เวลาเพียงนิดหน่อย
* หลีกเลี่ยงจากต้นเหตุ
เมื่อลุกไปจากตำแหน่งที่กำลังทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ระหว่างนั้นก็เป็นการหยุดพัก โดยหลับตาหรือทำการบริหารตาเพื่อให้นัยน์ตาได้พักและช่วยลดอาการเมื่อยล้าได้
* หลีกเลี่ยงการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ต้องทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และก็มีการหยุดพักสายตาบ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเกิดกับดวงตามากนัก
* พักผ่อน
นัยน์ตาที่ต้องจ้องเพ่งควรจะมีการฝึกการหยุดเพ่งสายตาหรือจ้องมองเป็นเวลานาน ๆ วิธีที่ดีที่สุดก็คงเป็นการล้มตัวลงนอนและหลับตาเพียง 2-3 เวลาและปิดไฟ วางผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ไว้บนเปลือกตา พักผ่อนและไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด ๆ
* ควบคุมความสว่างและจอภาพ
การควบคุมความสว่างภายในสภาพแวดล้อมการทำงานก็นับว่าจำเป็น ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดหรือเมื่อยล้าตาได้, ลดการเพ่งมอง, การสะท้อนของแสงต่าง ๆ และความไม่เพียงพอของแสงในการอ่านตัวอักษร โดยคุณจะต้องปรับความสว่างที่จอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างที่พอดี ซึ่งหากทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้าและจอภาพก็มีความสว่างมากก็ยิ่งส่งผลเสียให้กับ คุณจะรู้สึกทันทีว่ามีอาการปวดร้าวดวงตาเร็วและแสบตาอย่างรุนแรง ดังนั้นควรควบคุมความสว่างจากสภาพแวดล้อมและที่จอคอมพิวเตอร์ด้วย เพื่อสุขภาพตาของคุณ
* ขยายพื้นที่ในการทำงาน
ในระหว่างที่มีการกวาดสายตาเพื่อทำการอ่านข้อความบนจอเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าตา และปวดตาได้ง่าย ถ้าหากว่าระยะห่างระหว่างตากับจอภาพไม่สัมพันธ์กัน เช่น ในขณะพิมพ์ตัวอักษรให้ปรากฏบนจอภาพ ตำแหน่งของจอภาพควรห่างจากนัยน์ตาก็ควรจะห่างกันประมาณ 18-24 นิ้ว และระดับของสายตาในการมองควรจะทำมุม 15 องศากับแนวนอน

นัยน์ตาแห้งไร้ความชุ่มชื้น
นัยน์ตาที่แห้งพบบ่อยกับผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเหตุจากการขาดน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ดังนั้นดวงตาก็อาจจะเสียและเกิดอาการเมื่อยล้าและปวดได้ง่าย ในภาวะที่นัยน์ตาแห้งและเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาจะเป็นภาระที่หนักมากสำหรับผู้ทีใส่คอนแทคเลนส์

* การเพ่งมอง
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะมีการกะพริบตาน้อยครั้งในขณะใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงเป็นเหตุให้น้ำตาหรือน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ
* ขาดความชุ่มชื้นในบรรยากาศ
หลาย ๆ ออฟฟิศที่สร้างขึ้นนั้นมีบรรยากาศที่แห้งเนื่องจากการเปิดแอร์คอนดิชั่น และความร้อนจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ก่อให้เกิดความแห้งในบรรยากาศ ซึ่งทั้งสองสาเหตุนี้เป็นการทำให้น้ำหล่อเลี้ยงดวงตาระเหยไปอย่างง่ายดาย
* ยาชนิดต่าง ๆ
มียาชนิดต่าง ๆ มากมาย เช่น ไดยูเร็ตทิค (diuretics) และแอนตี้ฮิสตามิน (antihistamines) ที่มีผลทำให้นัยน์ตาลดการผลิตน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งอาจจะต้องพบแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอยารักษาอาการดวงตาแห้ง ขนาดน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา
* อายุที่มากขึ้น
อายุมีความสัมพันธ์กับการผลิตของน้ำตา ซึ่งหากอายุมากขึ้นการผลิตน้ำตาก็ทำได้น้อยลง ปัญหาการผลิตน้ำตาน้อยลงนี้พบได้บ่อยกับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
* วิธีการแก้ปัญหาของดวงตาแห้ง วิธีการที่จะบำบัดได้ที่รวดเร็วสำหรับอาการตาแห้งก็คือการใช้ยาหยอดตา โดยประกอบด้วยเมทธิลเซลลูโลส (Methyl cellulose) หรือโพลีไวนิลอัลกอฮอล์ (polyvinyl alcohol) ยาหยอดตาจะช่วยยับยั้งการครั่งของเลือดบริเวณตา หรือการบีบรัดที่เป็นต้นเหตุในการเกิดอาการตาแห้งไร้ความชุ่มชื่น ไม่ว่าคุณจะใช้ยาหยอดตาหรือการกะพริบตาบ่อย ๆ ทุก 5 วินาที ก็สามารถช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่เสมอ

ตัวบ่งบอกเกี่ยวกับสายตา
เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณมองดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณเองไม่ชัด หรือบางครั้งอาจมองเห็นภาพซ้อน และในขณะที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์มักจะเกิดอาการปวดคอ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เป็นเพียงกับคุณคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์อีกนับล้าน ๆ คนที่ต้องทนทรมานกับอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังเหตุทั้งสองที่จะกล่าว

* การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องใช้สายตา และข้อบกพร่องของสายตาที่เกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ที่เป็นต้นเหตุให้เมื่อยล้าตาได้ แต่ถ้าหากคุณไม่รู้สึกตัวว่าเกิดข้อบกพร่องกับตาของคุณแล้วจะทำให้ยากแก่การมองเห็นจอภาพได้wbr>wbr>wกรณีที่เกิดข้อบกพร่องกับตาแล้ว
* สายตาที่มีปัญหา ซึ่งมีวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดกับสายตาจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องทำการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสายตาเพื่อให้สามารถมองจอภาพได้ดี

เนื่องจากสายตาของคนเรานั้นมักจะเสื่อมไปตามอายุ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ล้วนแต่ต้องการมีสุขภาพตาที่ดี และวิธีการในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับสายตา แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ช่วยให้การมองดีขึ้นและสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นับล้าน ๆ คน

คุณต้องการแว่นตาหรือไม่
ปัญหาของการมองที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขมีอยู่อย่างมากมาย ซึ่งพบว่ามีอยู่ไม่น้อยเลยในวัยทำงานที่ยังคงปล่อยปะละเลยในการแก้ไขปัญหาของสายตามที่มีปัญหา

* ความต้องการในขณะทำงาน
นัยน์ตาที่มีการใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำมักต้องการสภาพแวดล้อมในการใช้สายตา ซึ่งแต่ละคนก็มีความต้องการแตกต่างกันไป และสุขภาพตาที่ดีพออาจช่วยแก้ปัญหาของนัยน์ตาได้ โดยสามารถรับมือกับปัญหาที่ทรมานนัยน์ตาได้แต่ก็คงไม่มากนัก


ปัญหาที่มักเกิดกับนัยน์ตา
แว่นตาและคอนแทคเลนส์ได้ออกแบบมาสำหรับแก้ปัญหาที่แตกต่างกันไปตามสภาพของนัยน์ตา

* Myopia
ภาวะสายตาสั้นเป็นภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นวัตถุในระยะที่ตั้งไว้ไกลเกินจากโฟกัสของสายตา โดยที่จุดโฟกัสของภาพที่มองตกก่อนที่จะถึงจอรับภาพของนัยน์ตา คนที่สายตาสั้นบางคนเท่านั้นที่อาจจะไม่ต้องอาศัยแว่นตาและทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้อย่างสบาย แต่เมื่อเกิดภาวะสายตาสั้นมากขึ้น ก็จะปรากฎท่าทางที่บ่งบอกว่านัยน์ตานั้นเริ่มแย่แล้ว โดยจะนั่งใกล้ติดกับจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป และอาจจะเกิดผลอย่างอื่นตามมาอีก
* Hyperopia
ภาวะสายตายาวนี้จะมองเห็นได้ดีในระยะไกลโดยไม่ต้องอาศัยแว่นตา แต่จะมีผลกับการทำงานบ้าง ซึ่งโฟกัสที่ได้จากวัตถุในระยะไกลจะมองเห็นได้ดี แต่ถ้าเป็นการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ ๆ นัยน์ตาจะต้องพยายามจับโฟกัสของวัตถุนั้น ฉะนั้นเมื่อต้องดูคำที่เขียนบนจอภาพก็จำเป็นต้องใช้สายตามองในระยะที่พอประมาณ คนที่สายตายาวจึงต้องพยายามใช้สายตาในการมองในระยะที่ใกล้จึงทำให้เกิดอาการเมื่อยกล้ามเนื้อตาหรือ
* Astigmatism
ภาวะตาพร่านี้จะเกิดจากการผิดปกติของเลนส์ตาที่มีส่วนโค้งผิดปกติ ซึ่งเมื่อมองแล้วจะทำให้เกิดอาการเบลอไม่เกี่ยวกับระยะของวัตถุ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วปัญหาของภาวะสายตาสั้น หรือสายตายาว และภาวะตาพร่านั้นเมื่อถูกสะสมไว้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
* Presbyopia
ภาวะนี้เป็นการสูญเสียความสามารถของโฟกัสไปตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการเสื่อมไปตามอายุของคนเรา โดยจุดโฟกัสของภาพที่มองเห็นตกเลยจอรับภาพ (เรตินา) และได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งภาวะนี้อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอเมื่อทำงานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ การแก้ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะต้องอาศัยแว่นตา เพื่อให้ได้ระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างสายตากับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ

โดยทั่ว ๆ ไปผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จ้องมองแต่หน้าจอเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็มักจะทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าเกร็งกล้ามเนื้อตา เพื่อให้ได้โฟกัสและทิศทางของสายตาที่จ้องมอง
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มักจะกวาดสายตาในทิศทางที่ซ้ำ ๆ ในขณะทำงาน จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้ากล้ามเนื้อตาได้ง่าย
แสงสว่างที่จ้ามากสำหรับนัยน์ตาและระยะของวัตถุ รวมทั้งการจับโฟกัสของสายตา ในภาวะสายตาสั้น นัยน์ตาก็จะต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อมองภาพในระยะที่ไกล ส่วนใหญ่แล้วจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่สว่างมากจะช่วยลดความรุนแรงที่เกิดกับนัยน์ตาได้
ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มักจะทำงานอยู่ในบรรยากาศที่แห้ง ๆ ซึ่งควรจะมีการกะพริบตาบ่อย ๆ เพื่อที่จะลดภาวะที่เป็นอันตรายกับนัยน์ตา

อาการเตือนเมื่อต้องการแว่นตา
องค์การที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับนัยน์ตา The American Optometric Association (AOA) ได้กล่าวว่าอาการที่เกิดจากความเมื่อยนัยน์ตาของคุณอาจจะเป็นดังนี้

* อาการปวดศีรษะบ่อย ๆ
* อาการเบลอหรือเมื่อยล้านัยน์ตา
* การมองเห็นที่มัวพร่า
* ความถี่ในการเกิดอุบัติเหตุ
* ทำการจอดรถได้ยาก
* อ่านหนังสือพิมพ์หรือตัวอักษรเล็ก ๆ ได้ยาก
* เล่นกีฬาแย่ลง
* ลดความสนใจในการทำงาน

การทดสอบสายตา
องค์การ AOA ได้แนะนำให้มีการตรวจสอบหรือทดสอบนัยน์ตาก่อนที่จะเริ่มทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์และติดตามผลการทดสอบทุก ๆ ปี
จากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นที่ผู้เชี่ยวชาญด้านดูแลสุขภาพตาพบว่าองค์ประกอบที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับสุขภาพนัยน์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าองค์ประกอบอื่น ๆ จะไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลสุขภาพตาก็เริ่มมีการต่อต้านเกี่ยวกับการทำงานที่ใกล้เกินไปกับจอคอมพิวเตอร์ และการทำงานที่ทำให้ต้องใส่แว่นตา

แว่นตาและคอนแทคเลนส์
แว่นตาและคอนแทคเลนส์อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเฉพาะอย่างในขณะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ อาทิเช่น แว่นตาที่มีทั้งเลนส์มองระยะใกล้และระยะไกล (bifocal), trifocal และคอนแทคเลนส์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยตรงสำหรับใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ในขณะที่มีการใส่คอนแทคเลนส์ก็อาจจะมีอาการเหมือนกับการมองไม่สัมพันธ์กัน วิธีการแก้ปัญหาก็อาจจะทำได้โดยเลือกแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ให้เหมาะกับสภาพสายตาและสภาวะแวดล้อมใน

* Computer glasses
แว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์ โดยปกติแล้วจะออกแบบเน้นในเรื่องระยะทางจุดโฟกัสและมุมมองเพื่อให้คุณมองเห็นหน้าจอได้ง่าย แว่นตาที่มีราคาค่อนข้างแพงก็อาจจะช่วยลดการระคายเคืองของนัยน์ตาที่เมื่อยล้าได้ ประมาณ 40% ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่เห็นปัญหาของนัยน์ตาที่เกิดจากการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และยอมรับว่าการใส่แว่นตามีส่วนช่วยในขณะทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
* Bifocals
แว่นตาสำหรับคนที่สายตาเริ่มเสื่อมไปตามธรรมชาติ (prebyopia) เป็นแว่นตาที่ประกอบด้วยเลนส์สองเลนส์คือเลนส์ที่มองในระยะปกติที่เหมาะสมกับสายตา และอีกเลนส์ที่เป็นเลนส์ล่างของแว่นตา สำหรับมองระยะใกล้ ๆ มีโฟกัสอยู่ที่ 16 นิ้ว หรือ 40 เซนติเมตรที่อยู่ระดับล่างของแว่นตา ที่ช่วยให้มองดีขึ้น อย่างเช่นการอ่านหนังสือบนโต๊ะหรือหนังสือที่อยู่ในมือ แต่ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ในการเปลี่ยนโฟกัสในการมองหรือการหันไปมองสิ่งต่าง ๆ แล้วหันกับมามองที่จอภาพจะทำให้เกิดอาการตาลาย ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการปวดคอและหลัง การทดสอบแว่นตา bifocal ซึ่งเป็นเลนส์ที่สามารถช่วยในการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้เลนส์ล่างในการมองระยะการทำงานที่ใกล้ ๆ การแก้ปัญหาเหล่านี้อาจจะใช้แว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์ช่วยก็ได้
* Trifocal
เป็นเลนส์แว่นตาที่เลนส์ตรงกลางมีโฟกัสเหมาะสำหรับระยะการทำงานกับคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเลนส์ตรงกลางเหล่านี้เป็นเลนส์ที่ผู้ใช้เลือกและต้องการเป็นพิเศษในการสวมใส่ อย่างไรก็ตามผู้ที่ใส่แบบ trifocal ก็อาจจะมีความรู้สึกเกิดอาการตาลายได้บ่อย ๆ เนื่องจากมีเลนส์ที่บรรจุอยู่สามเลนส์และตาต้องคอยปรับโฟกัสอยู่เสมอ ซึ่งแว่นตาสำหรับงานคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะหรือแบบพิเศษ bifocal ก็อาจจะช่วยให้อาการเมื่อยกล้ามเนื้อตาหรือปวดตาลดน้อยลง
* Progressive addition lenses
เป็นเลนส์ที่มีเลนส์พิเศษต่าง ๆ รวมอยู่ด้วยกันบนเลนส์หนึ่ง ๆ ซึ่งเกิดจากความก้าวหน้าของการพัฒนาเลนส์ ให้เลนส์มีระยะโฟกัสที่ไล่ระดับกันไปบนเลนส์แว่นตาอันเดียวกัน ซึ่งจะเริ่มจากเลนส์บนเป็นเลนส์ที่ช่วยให้เราสามารถมองวัตถุได้ในระยะไกล และเลนส์ล่างจะเป็นเลนส์ที่ช่วยในการมองวัตถุในระยะใกล้ ๆ โดยการกวาดตามองลงผ่านเลนส์แว่นตาแบบนี้จะช่วยเปลี่ยนระยะโฟกัสไปตามเลนส์ที่บรรจุอยู่อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นคุณสามารถที่จะมองได้ปกติเมื่อมีการเปลี่ยนระยะการมองเพื่อให้เห็นได้ใกล้หรือชัดขึ้น ผู้ใส่แว่นแบบนี้หลาย ๆ คนที่สามารถมองการพิมพ์ตัวอักษรบนจอได้เป็นระยะเวลานาน ๆ อย่างไรก็ตามยังมีแบบใหม่ ๆ ที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานในระยะใกล้ได้ดีเช่นกัน
* Contact lense
ปกติคอนแทคเลนส์จะถูกออกแบบให้มีโฟกัสอยู่ที่ 20 ฟุต และอาจยังไม่ดีพอสำหรับการทำงานกับจอคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ที่มีความสว่างของจอภาพน้อย ซึ่งในขณะที่ใส่คอนแทคเลนส์ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีความรู้สึกเร็วมากกับอาการนัยน์ตาแห้ง และทำให้เกิดการระคายเคืองนัยน์ตาได้ จึงขอแนะนำว่าในบางครั้งควรจะสวมแว่นตาสำหรับทำงานกับคอมพิวเตอร์เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เช่นเดียวกับคอนแทคเลนส์ชนิด bifocal (เป็นเลนส์ที่มีเลนส์สองเลนส์ใกล้และไกล) ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ส่งท้าย
อาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์บ้างแล้ว ซึ่งเกิดจากการจ้องมอง เพ่งมองตัวอักษรที่พิมพ์ออกทางจอภาพ หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของเรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันโดยการหยุดพักสายตาและกะพริบตาบ่อย ๆ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่น ๆ เช่น การใส่แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสมกับสายตา เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านาน

Linux คืออะไร ?

รู้จักกับลีนุกซ์
ลีนุกซ์ เป็นระบบปฏิบัติการเช่นเดียวกับ ดอส ไมโครซอฟต์วินโดวส์ หรือยูนิกซ์ โดยลีนุกซ์นั้นจัดว่าเป็นระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ประเภทหนึ่ง การที่ลีนุกซ์เป็นที่กล่าวขานกันมากขณะนี้ เนื่องจากความสามารถของตัวระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในตระกูลของ GNU (GNU's Not UNIX) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทฟรีแวร์ (Free Ware) คือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการซื้อโปรแกรม
ระบบลีนุกซ์ตั้งแต่เวอร์ชั่น 4 นั้น สามารถทำงานได้บนซีพียูทั้ง 3 ตระกูล คือบนซีพียูของอิลเทล (PC Intel) ดิจิตอลอัลฟาคอมพิวเตอร์ (Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค (SUN SPARC) เนื่องจากใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า RPM (Red Hat Package Management) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ไมโครซอฟต์ วินโดวส์ บนพีซีหรือแมคโอเอส (Mac OS) ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กัน และเรื่องของการดูแลระบบลีนุกซ์นั้น ภายในระบบลีนุกซ์เองมีเครื่องมือช่วยสำหรับดำเนินการให้สะดวกยิ่งขึ้น

การนำลีนุกซ์มาใช้งาน
ปัจจุบันได้มีการนำระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ไปประยุกต์เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับงานด้านต่างๆเช่นงานด้านการคำนวณทางวิทยาศาสตร์ใช้เป็นสถานีงาน สถานีบริการ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือใช้ใน การเรียนการสอนและการทำงิจัยทางคอมพิวเตอร์ใช้พัฒนาโปรแกรมเนื่องจาก มีเครื่องมือมากมาย เช่น โปรแกรมภาษาซี (C) ซีพลัสพลัส (C++) ปาสคาล (Pascal) ฟอร์แทรน (Fortran) ลิสป์ (Lisp) โปรล็อก (Prolog) เอดา (ADA) มีภาษาสคริปต์ เช่น เชลล์ (Shell) บาสช์เชลล์ (Bash Shell) ซีเชลล์ (C Shell) คอร์นเชลล์ (Korn Shell) เพิร์ล (Perl) พายตัน (python) TCL/TK
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมประยุกต์ในสาขาต่างๆ อีกมากมาย โดยข้อมูลของโปรแกรมเหล่านี้ได้รวบรวมไว้ที่ Linux Software Map (LSM)

อนาคตของลีนุกซ์
ลีนุกซ์นั้นมีนักพัฒนาโปรแกรมจากทั่วโลกช่วยกันทำให้การขยายตัวของลีนุกซ์เป็นไปอย่างรวดเร็วโดยในส่วนของแกนระบบปฏิบัติการ หรือเคอร์เนลนั้นจะมีการพัฒนาเป็นรุ่นที่ 2.2 (Linux Kernel 2.2) ซึ่งได้เพิ่มขีดความสามารถและสนับสนุนการทำงานแบบหลายตัวประมวลผลแบบ SMP (Symmetrical Multi Processors) ซึ่งทำให้ระบบลีนุกซ์สามารุนำไปใช้สำหรับทำงานเป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ได้ และยังมีโครงการสนับสนุนการใช้งานบรระบบลีนุกซ์อีกหลายโครงการ เช่น KDE (The K Desktop Environment) และ GNOME (GNU Network Object Model Environment) ซึ่งจะช่วยพัฒนา desktop บนลีนุกซ์ให้สมบูรณ์เทียบเท่ากับ Windows 98 ของไมโครซอฟท์ และบรรดาบริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์ทางด้านระบบฐานข้อมูลชั้นนำ อย่างเช่น Informix, Oracle, IBM DB2 ก็เริ่มให้มีสนับสนุนการใช้งานบนระบบลีนุกซ์ แล้วเช่นเดียวกัน

เตรียมความพร้อมก่อนใช้ลีนุกซ์
ก่อนที่จะทำการติดตั้งก็ต้องเตรียมความพร้อมทางด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน ระบบลีนุกซ์ต้องการฮาร์ดแวร์ที่มีคุณสมบัต ิขั้นต่ำสุดดังต่อไปนี้
1. หน่วยประมวลผลกลางของ Intel 80386 ขึ้นไป
2. หน่วยประมวลผลทางคณิตศาสตร์ มีหรือไม่มีก็ได้ เพราะระบบปฏิบัติการ Red Hat Linux ได้มีการจำลอง หน่วยประมวลผลทางคณิตศาสตร์ไว้ในระดับของเคอร์เนล (Kernel) แล้ว
3. หน่วยความจำอย่างน้อย 8 เมกะไบต์ แต่แนะนำให้มีอย่างน้อย 16 เมกะไบต์จะทำให้ระบบมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า
4. ฮาร์ดดิสก์อย่างน้อย 101 เมกะไบต์ สำหรับการติดตั้งแบบพื้นฐาน 266 เมกะไบต์ สำหรับการติดตั้งแบบทั่วไป และ 716 เมกะไบต์ สำหรับการติดตั้งแบบทั้งหมดตัวเลขที่ระบุทั้งหมดเฉพาะส่วนระบบปฏิบัติการ ถ้าต้องการใช้เป็น File Server หรือ Database Server จะ ต้องเผื่อเนื้อที่ไว้สำหรับใช้งานด้วย ส่วนแหล่งของโปรแกรมลีนุกซ์นั้นสามารถหาได้ฟรีตามเว็บไซท์ เช่น www.linux.org/dist/ftp.html

สิ่งที่ควรทราบก่อนการติดตั้ง

1. คุณสมบัติของฮาร์ดดิสก็ที่ต้องการติดตั้ง
* จำนวนของฮาร์ดดิสก็ที่ต้องการติดตั้ง
* ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ที่จะใช้ในการติดตั้ง
* ประเภทการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์ที่จะใช้ในการติดตั้ง IDE, EIDE หรือ SCSI
* มีการใช้ประเภทการเชื่อมต่อของฮาร์ดดิสก์หลายๆ ประเภทในเครื่องเดียวกันหรือไม่
2. ขนาดของหน่วยความจำหลัก เพื่อที่จะคำนวณหาขนาดของ Linux Swap Partition
3. ประเภทการเชื่อมต่อของเครื่องอ่านซีดีรอม IDE (ATAPI), SCSI
4. รุ่นและยี่ห้อของแผงวงจรเชื่อมต่อ SCSI
5. รุ่นและยี่ห้อของแผงวงจรเชื่อมต่อเครือข่าย
6. จำนวนปุ่มกด และประเภทเชื่อมต่อของเมาส์
7. รุ่นและยี่ห้อของแผงวงจรเชื่อมต่อจอภาพ รุ่นและยี่ห้อของจอภาพ
8. รายละเอียดการกำหนดโปรโตคอล TCP/IP ของเครื่องที่ต้องการติดตั้ง
* IP Address
* Net Mask
* GateWay Address
* Name Server Address
* Domain Name
* Host Name

Video CD ภาพกระตุก

ในปัจจุบันนี้ Video CDได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณภาพที่ได้จาก Video CD อยู่ในเกณฑ์ดีและราคาไม่แพงมากนัก ซึ่งในส่วนของซอฟแวร์ เช่น ภาพยนตร์ คาราโอเกะ ก็หาซื้อได้ง่ายและมีให้เลือกมากมาย อีกทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องเล่น CD และการ์ด MPEG นั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น กลับมีราคาถูกลงเป็นอย่างมาก

โดยทั่วไปในการติดตั้งสายข้อมูลของเครื่องเล่น CD นั้น เราจะใช้สายข้อมูลเส้นเดิมที่เราใช้เชื่อมต่อระหว่างเมนบอร์ดกับฮาร์ดดิสก์อยู่ก่อนแล้วให้เป็นสายข้อมูลของเครื่องเล่น CD ด้วย ซึ่งมีข้อมดีคือ ทำให้เราไม่ต้องไปหาซื้อสายข้อมูลเส้นใหม่มาเพิ่มแต่การต่อสายข้อมูลแบบนี้ เราอาจพบปัญหาภาพกระตุกเวลาเล่น Video CD ทั้งที่เราใช้การ์ด MPEG แล้วก็ตาม

ปัญหามีสาเหตุมาจาก การส่งข้อมูลจากเครื่องเล่น CD ไปยังเมนบอร์ดนั้นใช้สายส่งข้อมูลเส้นเดียวกับฮาร์ดดิสก์ ทำให้การส่งข้อมูลไม่สม่ำเสมอ จึงเกิดอาการภาพกระตุกได้

วิธีการแก้ไข ให้ซื้อสายข้อมูลเพิ่มอีก 1 เส้น เพื่อแยกสายข้อมูลของเครื่องเล่น CD ออกมาต่างหาก โดยต่อสายข้อมูลเชื่อมระหว่างเมนบอร์ดและเครื่องเล่น CD โดยตรงไม่ต้องต่อพ่วงเข้ากับฮาร์ดดิสก์ จากนั้นก็ Setup เครื่องใหม่โดยให้ Drive C เป็น Primary และเครื่องเล่น CD เป็น Secondary ก็จะสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้

โปรแกรม 5 ตัวนี้จะช่วยจัดการ และทำให้การใช้งาน Windows ของคุณนั้นราบรื่นยิ่งขึ้น

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

1. Windows xKill
คุณ เคยเจอปัญหาโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่เกิดค้างรึเปล่า? โดยปกติเวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้คุณมักกด Ctrl + Alt +Del เพื่อเรียก Task Manager ขึ้นมา แล้วทำการ End โปรแกรมเหล่านั้น


Windows xKill สามารถ End โปรแกรมที่ค้างได้ไวกว่าการเรียก Task Manger ขึ้นมามาก ๆ

Windows xKill เป็นโปรแกรมเล็ก ๆ ที่ดัดแปลงมาจาก xKill ที่ใช้บน Linux ตัวโปรแกรมมีขนาดเพียง 18KB เท่านั้น และไม่จำเป็นต้องทำการ install แต่อย่างใด คือสามารถใช้งานได้ทันทีที่โหลดมันมา

เมื่อ คุณ enable มันไปไว้ที่ tray icon คุณเพียงแค่กด Ctrl + Alt + Backspace เพียงเรียก xKill ขึ้นมาใช้งาน จากนั้นคุณก็สามารถเลปิดโปรแกรมที่ค้าง หรือไม่ต้องการได้ทันที
2. DropCommand


คน ส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ใช้ command prompt บน Windows แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ DropCommand จะช่วยให้คุณใช้งานcommand prompt บน Windows ได้ง่ายขึ้น

DromCommand ทำให้คุณสามารถ “drag and drop” ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องพิมพ์คำสั่งที่ command prompt ด้วยตนเอง



3. Fences



ถ้าคุณมีหน้าจอ desktop ที่ยุ่งเหยิง และมี icon ต่าง ๆ บนหน้าจอเยอะแยะมากมายไปหมด Fences ช่วยคุณได้

Fences เป็น free software ที่พัฒนาโดย Stardock ผู้พัฒนาโปรแกรมดังอย่าง ObjectDock โดยโปรแกรม Fences นี้จะทำให้คุณสามารถจัดการกับ icon ต่าง ๆ บนหน้าจอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การทำงานหลัก ๆ นั้น Fences จะช่วยคุณจัดระเบียบของ icon บน desktop โดยสร้างสิ่งที่เรียกว่า container ขึ้นมา ซึ่งคุณสามารถนำ icon ต่าง ๆ แยกไปวางไว้ในแต่ล่ะ container ทำให้เกิดความเป็นระเบียบของ icon และเป็นการเป็น


4. Just Close Some Task


ถ้า คุณมีนิสัยชอบเปิดโปรแกรมขึ้นมาทำงานพร้อม ๆ กันหลายโปรแกรม แล้วมักจะลืมปิดมันเมื่อใช้เสร็จแล้ว JustCloseSomeTasks ก็คงเป็น software ที่เหมาะกับคุณ

สิ่งที่โปรแกรมนี้ทำ คือ เชื่อมโยง task ต่าง ๆ เข้ากับเวลาหมดอายุการใช้งาน ซึ่งเมื่อเวลาหมดหรือ expired แล้ว software ตัวนี้ก็จะทำการปิดการใช้งานโปรแกรมนั้นๆ ให้ทันที ซึ่งเมื่อคุณใช้ JustCloseSomeTasks ไปซักพัก มันจะเรียนรู้พฤติกรรมของคุณและปรับเวลาหมดอายุ หรือ expiry time ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของคุณได้


5. Lacuna Launcher
โดย ปกติแล้วเรามักจะใช้ application หรือโปรแกรมกลุ่มหนึ่งเป็นประจำ ในจุดนี้เอง Lacuna Launcher ทำให้คุณสามารถเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่ใช้ประจำได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดย Lacuna Launcher จะทำให้รคุณสามารถเปิดโปรแกรมต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ได้โดยการคลิ๊กที่ shortcut ตัวเดียวเท่านั้น

คุณสามารถใช้ Lacuna Launcher กำหนดกลุ่มไฟล์ หรือโปรแกรมต่าง ๆ และสามารถตั้งค่า delay time และ pause time ได้ด้วย เพื่อไม่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานโหลดมากเกินไป แทนที่จะโหลดโปรแกรมขึ้นมาพร้อมๆ กัน delay time และ pause time จะทำให้การโหลด หรือเปิดโปรแกรมเกิดขึ้นทีละโปรแกรมเป็น step ตามที่ตั้งไว้

คุณ สามารถกำหนดโปรแกรมต่างๆ ที่จะให้ Lacuna Launcher เปิดได้โดยไม่จำกัดจำนวน คุณสามารถระบุโปรแกรมที่ต้องการให้เปิดขึ้นมาเวลาที่คุณท่องเว็บ หรือเปิดไฟล์เอกสารต่าง ๆ ที่ต้องการเมื่อคุณทำการพิมพ์รายงาน

ใน ตอนเริ่มต้นของการใช้งานคุณอาจจะต้องเสียเวลาตั้งค่าต่าง ๆ ซักเล็กน้อย แต่หลักจากนั้นแล้ว คุณจะสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย และเรียกโปรแกรมต่าง ๆ ได้ไวยิ่งขึ้น

ป้องกันไวรัสMSNโจมตี


ซึ่ง หลายคนเรียก MSN Live Messenger โปรแกรมสื่อสารทันใจ (Instant Messengers) ที่ได้รับความนิยมมากทีสุดบนระบบปฏิบัติการ Windows และนั่นก็เป็นสาเหตุสำคัญด้วยที่ทำให้มันตกเป็นเป้าหมายของเหล่ามัลแว ร์ต่างๆ รวมถึงสแปม สำหรับวิธีป้องกัน แนะนำให้ลองติดตั้ง WLM Safe ที่ได้รับการพัฒนาออกมาเพื่อใช้ป้องกัน Windows Live Messenger จากเหล่าร้ายภัยคุกคามต่างๆ โดยเฉพาะ น่าจะช่วยให้ชีวิตออนไลน์ของคุณปกติสุขขึ้นนะครับ

สำหรับการติดตั้ง WLM Safe ผู้ใช้จะต้องติดตั้งส่วนเพิ่มเติมของโปรแกรมยอดฮิตอย่าง Messenger Plus for Windows Live Messenger เสียก่อน WLM Safe จะมาพร้อมกับโมดูลที่ป้องกันมัลแวร์ต่างๆ มากมาย เช่น

* แอนตี้ไวรัส (Anti-Virus) : ตรวจจับ และป้องกันลิงค์ที่ส่งเข้ามาในหน้าต่างสนทนาโดยไวรัส
* แอนตี้ฟิชชิ่ง (Anti-Phishing) : ตรวจจับ และกันลิงค์ฟิชชิ่งที่ส่งเข้ามาโดยไวรัส
* แอนตี้สแปม (Anti-Spam) : ป้องกันสแปมเมสเสจที่ส่งเข้ามาโดยคอนแท็คส์ของคุณ
* แอนตี้ฟลัด (Anti-Flood) : ตรวจจับการโจมตีแบบตะลุมบอนข้อความเข้ามา
* แอนตี้ฟรีซ (Anti-Freeze) : กันข้อความต่างๆ ที่ทำให้ Messenger เวอร์ชันเก่าๆ ล่มได้
* แอนตี้ก็อปปี้ (Anti-Copy) : แจ้งเตือนหากพบหนึ่งในผู้ติดต่อแอบก็อปปี้ Nickname ของคุณไปใช้
* แอนตี้บ็อต (Anti-Bot) แจ้งเตือนเมื่อคุณกำลังแชตกับบ็อต ไม่ใช่ผู้ใช้ตัวจริง
* แอนตี้แฮคเกอร์ (Anti-Hackers) : แจ้งเตือนเมื่อคุณกำลังแชตอยู่กับผู้ติดต่อที่ไม่ปลอดภัย


โปรแกรม รักษาความปลอดภัยสำหรับ MSN Live Messenger มาพร้อมกับฟังก์ชันอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้อีกด้วย เช่น ลดการใช้หน่วยความจำของโปรแกรม ลบข้อมูลตกค้างในแคช หรือตรวจดูโพรเซสทั้งหมดของระบบปฏิบัติการ ตัวเลือกการทำงานอื่นๆ ก็จะมีการล็อค MSN Messenger จากการถูกแอบใช้โดยผู้ใช้คนอืนๆ และป้องกันการถอดถอนสคริปท์ใน IM อีกด้วย
{rokintensedebate}

เร่ง speed firefox ให้ไวสุดๆ


เร่งสปีดให้ Firefox 3 เร็วเหนือนรก
หลังจากลองใช้ผมได้ใช้โปรแกรม Firefox 3 มาเกือบๆอาทิตย์ซึ่งก็ไป Download มาใช้ฟรีตั้งแต่เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.
ที่เป็นวันแรกที่ Browser ตัวนี้ออกให้ Download อย่างเป็นทางการ หลังจากได้ทดสอบลองใช้ดู เดิมๆผมว่ามันก็เร็วกว่า
IE มากอยู่แล้ว การแสดงผลภาษาไทยก็ทำได้ดี ไม่ผิดเพี๊ยน การจัดหน้าเว็บและ Font ต่างๆ โอเคเลยครับ ไม่แตกต่างจาก
IE มากเท่าไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ IE ยังไม่สามรรถสู้ได้ ก็คือเรื่องของความเร็ว

Firefox นั้นโหลดเร็วกว่า IE มาแต่ไหนแต่ไร แต่ไอ้ที่ว่ามันเร็วแล้วนั้นจริงๆสามารถปรับแต่งให้ม ันเร็วขึ้นไปได้อีก
ซึ่งมันทำให้โปรแกรม บราวเซอร์อย่าง Firefox นั้นมันเร็วปานจรวดขึ้นไปอีก

ลองมาดูวิธีการดังนี้ครับ
โดยปกติแล้ว Firefox จะรอเวลา 250 มิลลิเซกกัน เพื่อที่จะแสดงหน้าเว็บเพจ แต่เราสามารถปรับแต่งได้


1.ไปทื่ช่องกรอก URL บนเบร๊าเซอร์ Firefox ก่อนเลยแล้วกรอกคำว่า about:config ลงไป


2.มันจะโชว์หน้าต่างคำเตือนมาให้ครับไม่ต้องตกใจให้ค ลิกที่ปุ่ม I ll be careful , I promise


3.เอาเม๊าส์ไปวางที่ไหนบนหน้าจอก็ได้แล้วคลิกเม๊าส์ป ุ่มขวา เลือกที่ New >> String


4.พิมพ์คำว่า nglayout.initialpaint.delay ลงไป แล้วคลิกที่ ok

5.กรอกค่าเป็น 0 แล้ว OK


6.หลังจากนั้นก็ทำวิธีการเดิม แล้วกรอกคำว่า content.notify.interval ลงไป และค่าก็คือ 0 เหมือนกัน แล้วก็ ok

เป็นอันเสร็จพิธีการ เสกความเร็วให้กับ Firefox นะครับ แล้วลองปิดเบร๊าเซอร์แล้วเปิดใหม่ดู จะเห็นความแตกต่าง ว่าแม่เจ้าทำไมเร็วเยี่ยงนี้

ลูกเล่น(ไร้สาระ)ที่ซ่อนอยู่?(windows 7 )


บ่อย ครั้งที่พบว่า ลูกเล่นที่ลึกลับหรือถูกซ่อนไว้ในซอฟต์แวร์ที่เรียก Easter Egg มักจะตามติดจากเวอร์ชันเก่ามาจนถึงเวอร์ชันใหม่ แม้แต่ในระบบปฎิบัติการ Windows 7 ลูกเล่นบางอย่างที่เล่นได้บน Windows Vista ก็ยังใช้ได้บน Windows 7 ด้วย อย่างทริก"ไร้สาระ"อันนี้เป็นต้น

เรื่องของเรื่องก็คือ ปกติเวลาเรียกใช้ฟังก์ชัน Task Switcher (หรือ Flip ใน Windows Vista) เพื่อสลับสับเปลี่ยนไปใช้แอพฯตัวอื่นๆ ที่เปิดไว้แล้ว ผู้ใช้เพียงแค่กดปุม Alt+tab บน Windows 7 หรือ Vista ก็จะมีหน้าต่างป๊อปอัพขึ้นมาพร้อมทั้งแสดงรายการของหน้าต่างโปรแกรม ด้วยขนาด thumbnail จัดแถว รอให้คุณเลือกบนพื้นใส Aero ซึ่งจะแตกต่างจากที่เคยเห็นใน Windows XP ที่เป็นแค่ไอคอนโปรแกรมเท่านั้น


หาก คุณคิดถึงอินเตอร์เฟซของฟังก์ชันสลับโปรแกรมที่ไม่ค่อยไฮโซเท่าไรของ XP ก็สามารถเรียกรูปแบบเดิมขึ้นมาใช้ใน Windows 7 (หรือ Vista) ได้เหมือนกัน โดยขั้นแรกกดปุ่ม Alt+tab ด้วยมือซ้าย จากนั้นใช้มือขวากดปุ่ม Alt ทางฝั่งขวาของคีย์บอร์ด แล้วปล่อย (มือซ้ายยังกดปุ่ม Alt ค้างอยู่นะครับ) จากนั้นกด Alt+tab ด้วยมือซ้าย จะเห็นว่า Switcher ได้เปลี่ยนอินเตอร์เฟซกลับไปเป็นแบบ XP ในอดีตแล้ว โอ้ว...ได้กลิ่นอายของ XP ดีจัง :p (ภาพตัวอย่าง Task Switcher บน Windows 7 ที่แสดงไอคอนเรียบง่ายแบบ XP)

ติดตั้ง Windows ด้วยแฟลชไดร์ฟง่ายดังพลิกฝ่ามือ


WinToFlash โปรแกรมสุดวิเศษที่จะช่วยให้การติดตั้ง Windows XP,Windows Vista และ Windows 7 ไม่ต้องง้อแผ่น CD/DVD อีกต่อไปเมื่อมันสามารถที่จะดูดเอาไฟล์ setup Windows เอาไปไว้ในแฟลชไดร์ฟได้ จากนั้นเอาแฟลชไดร์ฟนั้นไปใช้ในการติดตั้ง Windows ต่อไป


ซึ่งเราแทบไม่ต้องมีความรู้อะไรเลยครับ เพียงเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับคอมฯ พร้อมนำแผ่น CD/DVD ที่ใช้ setup Windows เข้าไปที่คอมฯ เช่นกัน จากนั้นเปิดโปรแกรมขึ้นมา เลือกไดร์ฟรับ และไดร์ฟส่งไฟล์ ระหว่างแฟลชไดร์ฟ และตัวไดร์ฟ CD/DVD แล้วทำตามขั้นตอนที่ละ step ตามที่โปรแกรมปรากฏขึ้นที่หน้าจอเราก็ได้แฟลตไดร์ฟเอาไว้ลง Windows แล้วครับ

ถามว่าการ setup Windows ผ่านแฟลตไดร์ฟดียังไง ตอบได้ง่ายๆ ครับคือ มันเร็วกว่ามาก เพราะแฟลตไดร์ฟมีอัตราการรับ-ส่ง ข้อมูลสูงกว่าไดร์ฟ CD/DVD และประการที่สองคือประหยัดแผ่น สุดท้ายที่เจ๋งสุดคือ ไม่ต้องง้อไดร์ฟ CD/DVD สำหรับท่านที่ใช้ Notebook บางรุ่นที่ไม่มีไดร์ฟ CD/DVD ครับ.


ขั้นตอนแรกพอเปิดโปรแรกมมาก็เข้าสู่โหมด wizard เลยครับง่ายดี


จาก นั้นเลือกไดร์ฟให้กับโปรแกรม กล่าวคือช่องด้านบนคือที่อยู่ของไดร์ฟ CD/DVD ของแผ่นเซ็ตอัพ windows และช่องที่สองคือแฟลชไดร์ฟ จากนั้นกด next ต่อไป


ตอบ I Accepted..... แล้วกด Continue


โปรแกรมเตือนว่าไฟล์ในแฟลชไดร์ฟจะโดนลบนะครับ ถ้ามั่นใจว่าไม่มีอะไรในนั้น ก็ตอบ OK


มัน จะคัดลอกไฟล์ setup windows ไปไว้ในแฟลชไดร์ฟ รอจนเสร็จครับ...การนำไปใช้งานก็เพียงเอาแฟลชไดร์ฟเสียบที่ช่อง USB ตามปกติ จากนั้นเข้าสู่ไบออสของ Notebook ด้วยการกด F8 ดักไว้ก่อนการ Boot Windows มองหาเมนู Boot แฟลชไดร์ฟ แทนที่การ Boot ด้วย CD/DVD จากนั้น Save แล้วเริ่ม Boot ระบบใหม่ พอมันมาถึงขั้นตอนการ Boot ระบบมันก็จะไปหาไฟล์ setup ที่แฟลชไดร์ฟ และขบวนการ setup Windows ก็จะเริ่มขึ้นตามปกติ

การตั้งภาษาไทย ให้กับโปรแกรมเล่นเพลง MP3 แบบ Winamp

สำหรับการ Set ให้แสดงภาษาไทยใน Winamp ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การแสดงภาษาไทยจะทำการ set 2 ส่วน คือ ที่ Play List กับที่หน้ากากของ Winamp นะครับ โดยที่ทั้ง 2 ส่วนนี้จะต้องทำการแยกกัน set ทีละอย่าง

มาดูตัวอย่าง จากการติดตั้ง Winamp แบบมาตราฐาน ที่ยังไม่มีการ set ให้แสดงภาษาไทยก่อน


เริ่ม จากตัวอย่างของ Winamp ที่ยังไม่ได้ทำการปรับแต่งอะไรเลย จะเห็นว่าภาษาต่าง ๆ ในรายชื่อเพลงและบนหน้าจอจะไม่สามารถอ่านตัวอักษรที่เป็นภาษาไทยได้ มาดูวิธีแก้ไขทีละอย่าง

การตั้งให้ที่ Play List แสดงผลเป็นภาษาไทย (จะต้องทำทุก Skin ด้วย)

การ แสดงผลใน Play List ของ Winamp นั้นจะขึ้นอยู่กับไฟล์ชื่อ pledit.txt ที่อยู่ในแต่ละ Skin ของ Winamp ที่ติดตั้ง ซึ่งปกติแล้วจะเก็บอยู่ในโฟล์เดอร์ชื่อ C:\Programe Files\Winamp\Skin ดังนั้น เมื่อทำการ Download Skin มาใหม่ ๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ Skin บางอันอาจจะไม่ได้ตั้ง Font เป็นภาษาไทย ทำให้ไม่สามารถแสดงภาษาไทยได้ ต้องเข้าไปทำการแก้ใข Font ในส่วนนี้เอง โดยมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

เริ่ม จากเปิด Windows Explorer และเข้าไปที่ Folder ที่เก็บ Skin ของ Winamp เช่น C:\Programe Files\Winamp\Skin เปิดไฟล์ Skin ของ Winamp โดยใช้โปรแกรม Winzip (สำหรับ Skin รุ่นใหม่ ๆ จะเป็นไฟล์นามสกุล .WSZ ให้ทำการ เปลี่ยนชื่อไฟล์ เป็น .ZIP ก่อน โดยดูที่ การเปลี่ยนชื่อนามสกุลไฟล์) หรืออาจจะใช้ Winzip เปิดไฟล์ .WSZ จากเมนู File >> Open ตรง ๆ เลยก็ได้


มอง หาไฟล์ที่อยู่ข้างในโปรแกรม Winzip ที่เปิดขึ้นมาชื่อ pledit.txt แล้วกดดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ pledit.txt นั้น เพื่อทำการแก้ไขใน Notepad


โดยมองหาบรรทัดที่มีคำว่า Font แล้วทำการเปลี่ยนเป็น Font=MS Sans Serif แทนของเดิมตามรูปด้านบน

สำหรับความหมายต่าง ๆ ในส่วนของ [Text] ก็คือ

Normal = รหัสของสีตัวอักษรที่แสดงตามปกติ
Current = รหัสของสีตัวอีกษรเมื่อทำการเลือกชื่อนั้น
NormalBG = รหัสของสีพื้นที่แสดงตามปกติ
SelectedBG = รหัสของสีพื้นของตัวอักษรที่ถูกเลือกขณะนั้น
Font = รูปแบบตัวอักษรที่ต้องการให้แสดงใน play list

จุด ที่สนใจ จริง ๆ ก็คือ Font เท่านั้น ส่วนสีต่าง ๆ ก็แล้วแต่ว่าใครจะแก้ไขหรือไม่ หลังจากที่ทำการแก้ไขแล้ว เลือกที่เมนู File และ Save ในเมนูของ Notepad จากนั้นก็ปิดโปรแกรม Notepad จะมีข้อความถามการ Update ดังนี้


กด Yes เพื่อเก็บบันทึกการแก้ไขเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ครับ แล้วก็ปิดโปรแกรม Winzip ก็เป็นอันจบ อย่าลืมว่าจะต้องทำแบบนี้ในทุก ๆ Skin ที่ต้องการให้แสดงผลเป็นภาษาไทยด้วย

สำหรับ Skin อันไหนที่ไม่มีไฟล์ pledit.txt รวมอยู่ด้วย เราก็สามารถทำการสร้างไฟล์นี้ขึ้นมาเองก็ได้ โดยเปิด Notepad และทำการพิมพ์ข้อความลงไป 2 บรรทัดตามรูปด้านบน ทำการ Save ไว้ให้โดยตั้งชื่อไฟล์เป็น pledit.txt จากนั้นก็นำไป Add เข้ารวมไว้ในไฟล์ของ Skin ที่ต้องการใช้งานก็ได้เหมือนกัน

การตั้งให้ที่หน้าจอของ Winamp แสดงผลเป็นภาษาไทย

ในส่วนของที่หน้าจอของ Winamp หากต้องการให้แสดงชื่อเพลงเป็นภาษาไทย จะต้องทำโดยการใช้ Plugin ที่ชื่อ Tixoft Font Plug II สำหรับการแสดงผลครับ สามารถหา Download จากหน้าดาวน์โหลด มา unzip เก็บไว้ก่อน

หลังจากที่ได้ Download Plugin มาแล้วก็เริ่มติดตั้ง กดดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ Plugin ที่เพิ่ง Download มาเพื่อติดตั้ง


กด Next เพื่อติดตั้งต่อไป ก็จะจบการติดตั้ง เรียก Winamp ขึ้นมาเข้าไปดูที่ Perferance หรือกดที่ Ctrl+P


เลือก ดูที่ General Purpose จะเห็น Plugin ชื่อ Tixoft Font Plug ครับ เท่านี้ก็สามารถใช้งานภาษาไทยได้แล้ว หรืออาจะเข้าไปแก้ไขโดยกดที่ Configure ก็ได้


หลังจากที่ทำการตั้งทั้ง 2 ส่วนแล้ว จะเห็นว่าเป็นภาษาไทยได้ทั้งใน Play List และบนหน้าจอ

หัวข้อเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

การติดตั้ง Acrobat Reader โปรแกรมสำหรับอ่านไฟล์ .pdf ที่ควรมีติดเครื่องไว้

โปรแกรม Acrobat Reader เป็นโปรแกรมจากค่าย Adobe ที่มีชื่อเสียงในด้านโปรแกรมกราฟฟิคต่าง ๆ โดยที่ตัวโปรแกรม Acrobat Reader นี้ จะทำหน้าที่อ่านไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ .pdf ซึ่งเป็นรูปแบบของไฟล์เอกสาร คล้าย ๆ กับ MS Word Document ทั่ว ๆ ไป แต่จะมีข้อดีตรงที่ สามารถใส่ภาพต่าง ๆ และเมื่อเปิดดู จะทำการย่อ หรือขยายได้ โดยที่ภาพยังดูชัดเจนดี นิยมใช้กันมาก ในรูปแบบของเอกสาร การนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ของสินค้าครับ

ตัวโปรแกรมนี้ สามารถหาดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีจากเว็บไซต์ของ http://www.adobe.com/ หลังจากดาวน์โหดลมาแล้ว เริ่มต้นการติดตั้งกันก่อน โดยเรียกไฟล์สำหรับการติดตั้งขึ้นมา


กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


เมื่อได้ตามภาพด้านบนนี้ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการติดตั้ง

มาทดลองใช้งานตัวโปรแกรมจริง ๆ กันหน่อย

ก่อนอื่นเราต้องมีไฟล์เอกสารที่เป็นรูปแบบของ .pdf ก่อนครับ เช่น อาจจะเป็นพวก แคตตาล็อคต่าง ๆ ของข้อมูลอะไรก็ได้ ที่มีรูปแบบเป็น .pdf ทดลองดับเลิบคลิกไปที่ไฟล์เอกสารนั้น โปรแกรมจะทำงานโดยอัตโนมัติ ตามภาพด้านล่าง


ในบางครั้ง หากมีเมนูของ License ด้านล่างก็กดที่ปุ่ม Accept ได้เลย


กดที่ปุ่ม Accept เพื่อเริ่มต้นการเรียกใช้โปรแกรม


ตัวอย่างของไฟล์เอกสาร .pdf ครับ รู้สึกว่าคมชัดเจนดี พร้อมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ ที่เราสามารถย่อหรือขยายได้ ก็นับว่า เป็นอีกหนึ่งโปรแกรม ที่น่าจะมีติดเครื่องไว้ หากต้องมีการดูเอกสารประเภทนี้บ่อย ๆ ครับ

วิธีการใช้งาน คีย์บอร์ด สำหรับสั่งงานต่าง ๆ แทนเมาส์เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น

ปกติแล้ว การใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows มักจะมีการสั่งงานต่าง ๆ โดยใช้การกดปุ่มบน เมาส์ เป็นส่วนมาก ซึ่งบางครั้ง กว่าที่จะทำการสั่งงาน โดยใช้เมาส์เลื่อนไปยังตำแหน่งที่ถูกต้อง กว่าจะกด กว่าจะเลือกเมนูต่าง ๆ อาจจะไม่ทันใจกับผู้ใช้งาน ที่ใจร้อนบางท่าน ยังมีอีกวิธีหนึ่งครับ ที่เราจะสามารถสั่งงาน Windows ต่าง ๆ โดยการใช้ปุ่ม คีย์ลัด หรือ Short Key ของระบบ Windows แทนการใช้เมาส์ ที่จะช่วยให้การสั่งงานแบบพื้นฐานต่าง ๆ ทำได้รวดเร็วขึ้น

Short Key คืออะไร

ยกตัวอย่างเช่น การใช้งานโปรแกรม Internet Explorer เมื่อต้องการจะสั่งให้มีการเปิดหน้าต่างใหม่ ปกติจะต้องใช้เมาส์ เลือกที่เมนู File เลือกที่ New และกดที่ Windows เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่ แต่ในการใช้ Short Key จะสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเพียงแค่กดปุ่ม Ctrl และ N พร้อมกัน ซึ่งจะให้ผลที่เหมือนกันทุกประการ โดยที่ใช้เวลาน้อยและสะดวกกว่าการใช้เมาส์มาก

Short Key มาตราฐานของระบบ Windows

ส่วน ใหญ่ จะเป็นมาตราฐานเดียวกัน ซึ่งในบางครั้ง การใช้งานซอฟต์แวร์บางตัวที่เขียนสำหรับ Windows ก็อาจจะใช้ คีย์แบบเดียวกันนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำและใช้งานซอฟต์แวร์นั้น ๆ ด้วย ทดลองใช้งานบ่อย ๆ แล้วจะคุ้นเคยเองนะครับ

- Alt + Tab ใช้สำหรับการเปลี่ยนหน้าต่างของซอฟต์แวร์ ที่เปิดใช้งานอยู่ในขณะนั้น
- Ctrl + Esc ใช้สำหรับเรียก Start Menu ขึ้นมาใช้งาน
- Alt + F4 ใช้สำหรับปิดหรือออกจากโปรแกรม (Close) ที่เปิดใช้งานอยู่ขณะนั้น
- Ctrl + Alt + Del ใช้สำหรับการสั่งบูทเครื่องใหม่ กรณีที่ไม่สามารถสั่งงานต่าง ๆ ได้แล้ว
- Print Screen ใช้สำหรับการเก็บภาพหน้าจอขณะนั้นเก็บไว้ โดยจะนำไป past วางในโปรแกรมแต่งภาพได้
- Alt ใช้สำหรับการเรียก เมนูด้านบน โดยจะต้องใช้ปุ่มลูกศร สำหรับการเลือกทำงานควบคู่กันไปด้วย
- Esc ใช้สำหรับการยกเลิกการทำงาน หรือออกจากการตั้งค่าต่าง ๆ หรือแทนคำว่า Cancel เป็นส่วนมาก
- Enter ใช้สำหรับการยอมรับ หรือแทนการกด OK เป็นส่วนมาก
- Space Bar ใช้สำหรับการเลือกบนปุ่มที่มีการ high light ไว้ จะใช้งานคล้าย ๆ กับปุ่ม Enter
- Home หรือ Ctrl + Home ใช้สำหรับการเลื่อน Scrool Bar ไปที่ตำแหน่งแรกของหน้าต่างนั้น
- End หรือ Ctrl + End ใช้สำหรับการเลื่อน Scroll Bar ไปที่ตำแหน่งท้ายสุดของหน้าต่างนั้น
- Shift + ปุ่มลูกศร มักจะใช้แทนการเลือก ช่วงของตัวอักษรหรือข้อความนั้น สำหรับการแก้ไขหรือการ copy
- F1 มักจะใช้แทนความหมายของการเรียก Help File ขึ้นมาช่วยเหลือ
- F2 มักจะใช้แทนความหมายของการ Rename ชื่อไฟล์ หรือการแก้ไขข้อความต่าง ๆ
- F3 หรือ Ctrl + F3 ใช้สำหรับการค้นหาต่าง ๆ
- Ctrl + F ใช้สำหรับการค้นหาต่าง ๆ คล้ายกันกับ F3
- Ctrl + A ใช้สำหรับการเลือกทั้งหมดหรือแทนคำว่า Select All
- Ctrl + C ใช้สำหรับการ copy ภาพหรือตัวอักษรที่เลือก เก็บไว้
- Ctrl + X ใช้สำหรับการ cut ภาพหรือตัวอักษรที่เลือก เก็บไว้
- Ctrl + V ใช้สำหรับการ past ภาพหรือตัวอักษรที่ได้เก็บไว้จากการ copy หรือ cut

Short Key ของโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ

นอก จากนี้ ในการใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ก็จะมีการกำหนด การใช้งานคีย์ลัด เหล่านี้เพิ่มเติมมากขึ้นด้วย แล้วแต่ผู้เขียนซอฟต์แวร์นั้น ๆ จะกำหนดมาให้ แต่เราสามารถดูค่าของ Short Key เหล่านี้ได้ง่าย ๆ คือ มักจะมีบอกไว้ ต่อท้ายในส่วนของเมนูอยู่แล้วครับลองดูตามภาพตัวอย่างต่อไปนี้


จากตัวอย่าง หากเราใช้ Internet Explorer เมื่อดูที่ปุ่มเมนูด้านบน จะเห็นว่า ชื่อของเมนูต่าง ๆ มักจะมีขีดอยู่ใต้ข้อความของเมนูนั้น ๆ อยู่ 1 ตัวอักษรเสมอ เช่น File Edit View เป็นต้น ซึ่งเราสามารถเรียกใช้งานเมนูนั้น โดยผ่านทางคีย์บอร์ดได้โดยตรง โดยการกดปุ่ม Alt และตัวอักษรที่ถูกขีดเส้นใต้พร้อม ๆ กัน

นอกจากนี้ หากในเมนูต่าง ๆ มีการบอก Short Key ต่อท้ายไว้ เราก็สามารถใช้งานได้ตามนั้นด้วย เช่น การเปิดหน้าต่างใหม่ หรือที่เมนู File >> New >> Windows จะมีคำว่า Ctrl+N ต่อท้าย หมายความว่าเราสามารถกดปุ่ม Ctrl + N เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เมาส์มากดเลือกที่เมนูก็ได้ หรือการเลือกที่เมนู File >> Print ก็เช่นกัน จะมีคำว่า Ctrl+P ก็คือหมายความว่า เราสามารถกดปุ่ม Ctrl + P เพื่อสั่งพิมพ์หน้าเว็บได้เหมือนกัน

ใน ส่วนของเมนูอื่น ๆ ก็ให้ทดลองสำรวจและลองใช้งานดู ในบางโปรแกรมอาจจะไม่เหมือนกันมากนัก ขึ้นอยู่กับผู้เขียนโปรแกรมต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย ดังนั้น ในการใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ก็ลองสังเกตุเมนูเหล่านี้ดูให้ดีครับ เพราะถ้าหากเราสามารถใช้งานพวก Short Key เหล่านี้ได้แบบคุ้นเคย จะช่วยให้การใช้งานโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์นั้น ๆ สะดวกมากขึ้น

การตั้ง Shutcut Key ให้กับ Shutcut ของซอฟต์แวร์บน Desktop

บน หน้าต่างของ Desktop เราก็สามารถสร้าง Shutcut Key ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างของ Shutcut ของโปรแกรม ePSXe ของผม โดยการกดเลือก เมาส์ขวาที่ Shutcut ของโปรแกรมนั้น ๆ และเลือกที่ Properties


ในช่องของ Shutcut key จะเป็นช่องที่ให้เรากำหนดคีย์สำหรับการเรียกซอฟต์แวร์นี้ได้ โดยการใช้เมาส์ เลือกในช่องนี้ และกดปุ่มที่ต้องการกำหนดให้เป็น Shutcut Key เช่นตัวอย่าง กำหนดเป็น Ctrl + Alt + G เพื่อใช้สำหรับเรียกโปรแกรม ePSXe และกดที่ OK หลังจากนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีการกดปุ่ม Ctrl + Alt + G พร้อม ๆ กัน ก็จะเป็นการเรียกโปรแกรมนี้ขึ้นมาใช้งานได้ทันที แต่การกำหนดคีย์แบบนี้ จะต้องระวังอย่าให้ไปซ้ำกับการใช้งานคีย์อื่น ๆ ด้วย เพราะว่าหากไปซ้ำกัน อาจจะทำให้เกิดการสับสนในการใช้งานต่าง ๆ ได้

การจัดการ และสิ่งที่ควรทำเมื่อ เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์และไม่สามารถใช้งานต่อไปได้

การใช้งาน Windows 98 ปกติต้องบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เลยที่จะเกิดอาการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลเนื่องจาก ระบบของ Windows ยังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่ โดยที่หลาย ๆ ท่านก็ยังบอกว่าไม่มี Windows รุ่นไหนหรอกครับที่จะสมบูรณ์ที่สุด ทุกอย่างย่อมต้องมีปัญหา และมีการแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อจู่ ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งาน (หรือเล่น) อย่างเมามัน เกิดอาการนิ่งไปซะดื้อ ๆ ซะนี่ แต่อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่าผมจะสอนวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จริงต้องบอกว่า การแก้ไขปัญหาแบบนี้ทำได้ยากมาก ๆ เลยครับ เพราะสาเหตุของการแฮงค์ มีได้ร้อยแปดพันเก้า ต้องไล่ไปทีละจุดทีเดียว จนกว่าจะเจอต้นเหตุของปัญหานั้น ๆ จริง ๆ เอาเป็นว่า วันนี้ จะแนะนำสิ่งที่ควรทำในเบื้องต้นเท่านั้น ลองทำดูทีละขั้นตอนกันนะครับ

อย่าเพิ่งกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที

เมื่อ เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ หรือนิ่งค้างไม่ยอมรับการทำงานต่าง ๆ โดยปกติแล้ว อย่าพยายามกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที เพราะการทำแบบนั้น อาจจะมีผลทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฮาร์ดดิสก์ มีปัญหาหรือเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น การปิดเครื่อง ควรจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริง ๆ เท่านั้น

พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ค้างอยู่

สิ่ง แรกที่ควรทำ คือให้พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่และเกิดการค้างขึ้นมา โดยวิธีการคือ ให้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันทั้ง 3 ปุ่ม ซึ่งจะมีหน้าต่างเมนูของการ Close Program ขึ้นมา


ตรง นี้ หน้าตาอาจจะไม่เหมือนกับรูปตัวอย่างนี้นัก ขึ้นอยู่กับว่าในเครื่องนั้น มีการเรียกซอฟต์แวร์อะไรไว้บ้าง แต่หลักการของเมนูนี้คือ เราสามารถทำการเลือกปิดซอฟต์แวร์บางตัว (ที่มีปัญหาหรือค้างอยู่ขณะนั้น) ได้เลย โดยปกติ หากมีซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาค้างอยู่ มักจะมีข้อความว่า Not Responding ต่อท้ายชื่อซอฟต์แวร์ตัวนั้น ๆ ด้วยเสมอ ก็ให้เลือกปิดไปเลยครับ (ถ้ายังสามารถปิดได้) โดยกดที่ปุ่ม End Task ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไรมาก จะสามารถปิดโปรแกรมนั้นได้ทันที และหลังจากนั้น ก็ควรที่จะสั่ง Restart Computer ใหม่สักครั้ง ก่อนที่จะใช้งานต่อไป

แต่ถ้าในขณะนั้น ไม่สามารถปิดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เลย เราจะทำอะไรได้บ้าง อย่างแรกคือ ให้ทำการทดลองสั่ง Shutdown โดยการกดที่ปุ่ม Shut Down ซึ่งเครื่องอาจจะรับหรือไม่รับก็ได้ ให้ทดลองดูก่อนครับ

ถ้ากดที่ Shut Down แล้วก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ขั้นตอนต่อไปคือการกดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันซ้ำอีกครั้ง ถ้าอ่านตามคำอธิบายด้านบนก็จะบอกว่า เป็นการ Restart Computer ใหม่ครับ

ใน บางครั้ง เมื่อเราสั่ง Shutdown อาจจะมีเมนูขึ้นมาถามว่า ยังมีซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ จะให้รอ (Wait) หรือปิดเครื่องไปเลย (Shut Down) เผื่อไว้ว่า บางครั้งเราอาจจะต้องการเวลาบ้าง เพื่อให้มีการ Close ซอฟต์แวร์ตัวนั้นจริง ๆ ตรงนี้ก็ให้เลือก Shut Down ไปเลยครับ

ทำไมต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อนด้วย

หลาย ๆ ท่านคงสงสัยสิครับ ว่าทำไมเราจึงต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเครื่องค้าง เราก็กดปุ่ม Reset หรือกดปุ่มปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่เลยก็ได้ ก็ขอแนะนำหลักการง่าย ๆ ครับว่า หากสามารถปิดเครื่องแบบปกติได้ เราควรจะทดลองทำดูก่อนครับ เพราะว่าถ้าเรามีการปิดเครื่องหรือ Shut Down ได้ จะเป็นการเคลียร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้งานของฮาร์ดดิสก์ ให้เรียบร้อยก่อนการ Shut Down จริง ๆ ครับ และเมื่อเปิดเครื่องใหม่ ก็จะสามารถใช้งาน ต่อไปได้ตามปกติทันที (ถ้าหากไม่มีปัญหาทางฮาร์ดแวร์จริง ๆ)

จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีการ Shut Down ก่อนปิดสวิทช์ไฟ

ถ้า หากไม่สามารถทำการ Shut Down ได้ก่อนการปิดเครื่อง เมื่อเราเปิดเครื่องมาใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป Windows จะมีการตรวจสอบการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก่อนเสมอ โดยการเรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาทำงาน เราสามารถข้าม ขั้นตอนนี้ไปได้โดยการกด Enter เพื่อออกจากการทำ Scandisk ได้เลย (แต่ปกติแล้ว ก็ควรจะรอให้เครื่อง Scandisk ให้เรียบร้อยจะดีกว่า) หรือในบางครั้ง หากมีปัญหาค่อนข้างมากจริง ๆ เราอาจจะเห็นเมนูให้เลือกเข้า Safe Mode ซึ่งควรที่จะเลือกเข้า Sefe Mode สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าหากเครื่องไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ก็สั่ง Restart Windows ใหม่ ทุกอย่างก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติเหมือนเดิมครับ

Blue Screen คืออะไร

หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำ ๆ นี้มาบ้างแล้ว ที่จริงแล้ว Blue Screen ก็คือการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งนั่นเอง แต่แทนที่จะมีอาการแบบ นิ่ง หรือค้างไปเฉย ๆ ที่หน้าจอ จะกลายเป็นสีฟ้า และมีตัวหนังสือบอกรายละเอียดต่าง ๆ (ที่อ่านไม่เห็นจะเข้าใจเลย) ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีข้อความบอกว่า ให้กดคีย์อะไรก็ได้ เพื่อทำงานต่อไป หรือกด Ctrl + Alt + Del เพื่อทำการ Restart Computer ถ้าหากเจอหน้าจอแบบนี้ ก็มีหลักการเดียวกันครับ คือกดลองกดปุ่มอะไรก็ได้ก่อน และพยายามทำการ Shut Down ให้ได้ แต่ถ้าหากไม่ได้จริง ๆ ก็กด Ctrl + Alt + Del เพื่อบูทเครื่องใหม่เลยครับ

Power Supply ของเคสรุ่นใหม่แบบ ATX

แถม ท้ายสำหรับผู้ที่ใช้เครื่องที่มีระบบ Power Supply แบบ ATX ซึ่งจะใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมสวิทช์ ปิด-เปิด ดังนั้นหากเครื่องแฮงค์ ในบางครั้งอาจจะไม่สามารถกดปิดเครื่องได้ ให้ทำการกดปุ่ม Power นั้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีครับ จะเป็นการสั่งให้เครื่องปิดได้ โดยไม่ต้องอาศัยซอฟต์แวร์มาช่วย

ปัญหาส่วนใหญ่ เกิดจากอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่ของปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ค้างก็มีได้มากมาย แต่สาเหตุหลัก ๆ ก็ขอรวบรวมมาไว้ตรงนี้

1. การไม่เข้ากันของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเมนบอร์ดกับการ์ดจอ หรือการ์ดเสียง

2. การต่อสายไฟ สายส่งข้อมูลต่าง ๆ หลวมหรือต่อไว้ไม่แน่นดีพอ

3. การเสียบแรม ขั้วต่อสาย หรือ การ์ด ต่าง ๆ หลวมหรือไม่แน่น

4. ความสกปรกของจุดสัมผัสของอุปกรณ์ เช่นขาของแรม ขั้วต่อของการ์ดต่าง ๆ ในเครื่อง

5. ฮาร์ดดิสก์ เริ่มมีปัญหา หรือใกล้จะเสีย

6. ระบบไฟ หรือระบบจ่ายไฟไม่ดีพอ เช่นไฟตกบ่อย ๆ หรือชุดจ่ายไฟไม่ดั

7. การลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับซอฟต์แวร์บางตัว

8. ความร้อนของ ซีพียู พัดลมของ ซีพียู ตรวจสอบว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่

9. ก่อนที่จะเกิดปัญหา ได้มีการทำอะไรบ้าง เช่นลงโปรแกรมเพิ่ม หรือเพิ่มการ์ดในเครื่อง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหลักก็ได้


นึกออกเท่านี้ครับ ก็ต้องบอกว่าคงจะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ต้องไล่กันไปทีละอย่างจนกว่าจะเจอต้นตอของสาเหตุครับ

การใช้งาน Help ที่มีติดมากับระบบ Windows ให้เป็นประโยชน์

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เครื่องมือตัวหนึ่ง ใช้สำหรับการช่วยเหลือผู้ใช้งาน Windows เมื่อมีปัญหา หรือไม่ทราบว่าจะหาวิธีการทำงานได้อย่างไร คือระบบ Help ของ Windows ซึ่งจะว่าไปแล้ว Help ตัวนี้มีประโยชน์มาก แต่น้อยคนนัก ที่จะรู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เรามาลองดู วิธีการเรียกใช้งานและตัวอย่างแบบคร่าว ๆ กันดีกว่า อย่างน้อย ก็อาจจะช่วยเราแก้ปัญหาเบื้องต้นได้บ้าง โดยที่ยังไม่ต้องไปพึ่งพา หรือสอบถามเอาจากผู้อื่น รวมทั้งเป็นการฝึกฝน การเรียนรู้และทำความเข้าใจระบบ ด้วยตัวเองได้

วิธีการเรียกใช้ Help ของ Windows ทำได้โดยการเปิด My Computer จากนั้น กดเลือกที่เมนู Help และเลือกที่ Help Topics จะได้ภาพตามตัวอย่างต่อไปนี้


นี่คือหน้าตาของ Help วิธีการใช้ Windows ซึ่งจะเห็นว่า มีหัวข้อต่าง ๆ ให้เลือกอ่านได้ครับ นอกจากนี้ ยังมีส่วนของ Index สำหรับการค้นหาคำ หรือความหมายของคำ ที่ต้องการคำอธิบายในเรื่องต่าง ๆ ด้วย โดยการกดที่ป้าย Index ครับ


ภาพตัวอย่างของ Index ครับ ซึ่งส่วนนี้จะสามารถค้นหาคำต่าง ๆ ที่ต้องการทราบได้ นอกจากนี้ หากต้องการค้นหาหัวข้อต่าง ๆ ก็สามารถเลือกจากป้าย Search ได้ด้วย


ตัวอย่างของการเลือกที่ป้าย Search และค้นหาคำว่า printer ซึ่งจะได้พบกับ ตัวช่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคำว่า printer เป็นต้น

มาลองดูตัวอย่างการใช้ตัวช่วยเหลือนี้ สำหรับการค้นหา วิธีการแก้ไขปัญหาของโมเด็มกันครับ เริ่มจาก เลือกที่หัวข้อ การแก้ไขปัญหา และเลือกที่ ตัวแก้ไขปัญหาของ Windows จากนั้นเลือกที่ โมเด็ม จะได้ตวแก้ไขปัญหาของโมเด็มตามภาพ


จากภาพ ทำการเลือกปัญหาที่พบ และเลื่อนลงไปด้านล่าง กดที่ปุ่ม ถัดไป> เพื่อหาคำตอบของปัญหาครับ


ลองอ่านคำแนะนำเบื้องต้นดูก่อน หากยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ก็เลือกที่ปุ่ม ไม่ได้ และกดที่ปุ่ม ถัดไป > อีกครั้ง


จะเห็นคำอธิบายต่อมาอีก ก็ลองอ่านและทำตามเมนกันไปเรื่อย ๆ ครับ

ตัวช่วยแก้ไขปัญหานี้ อาจจะช่วยเราให้เข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้ในเบื้องต้น แต่ก็อย่าหวังอะไรมากนักในส่วนนี้ บางครั้ง อาจจะไม่สามารถใช้ตัวช่วยแบบนี้ ในการแก้ไขปัญหาได้ทุกส่วน แต่อย่างน้อย ก็เป็นข้อมูลในเบื้องต้น ที่ควรจะทราบกันไว้ อย่าลืม ลองอ่านดูในหัวข้ออื่น ๆ ด้วย เพราะส่วนนี้ ถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้น สำหรับผู้หัดใช้งานระบบ Windows ได้เป็นอย่างดีเลยครับ

การเปลี่ยน ชื่อ นามสกุล ของไฟล์ต่าง ๆ บน windows แบบง่าย ๆ

สำหรับปัญหาของการ Download ไฟล์บางอย่างเช่นไฟล์เพลงแบบ MP3 ที่ในบางครั้ง ผู้ที่เขียนเวปไซต์เพื่อให้บริการ Download ไฟล์เหล่านี้ ต้องใช้วิธีการหลีกเลี่ยงข้อห้ามบางอย่างของ Server ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนนามสกุลของไฟล์นั้น ๆ ให้เป็นแบบอื่นก่อน เช่นเปลี่ยนเป็น .DOC .PDF .BMP .BIN หรืออื่น ๆ เมื่อเราทำการ Download มาแล้วอาจจะไม่สามารถ นำมาใช้งานได้ทันที ต้องมาทำการเปลี่ยนนามสกุลของไฟล์นั้นก่อน วิธีการเปลี่ยนก็แบบง่าย ๆ นะ โดยเรียก Windows Explorer ขึ้นมา เปลี่ยน Folder ไปยังที่เก็บไฟล์นั้น


กดเลือกที่เมนู View และเลือกที่ Folder Options...


กด เลือกที่ป้ายของ View ทำการยกเลิกการเลือกที่ช่อง Hide file extensions for know file types (เพื่อให้ระบบแสดงนามสกุลไฟล์ทั้งหมดที่มี) แล้วกด OK


จาก ตัวอย่าง จะเห็นว่าเพลง FF8 Eyes On Me ของผมมีนามสกุลเป็น .doc กดปุ่ม F2 หรือใช้เมาส์กดที่ชื่อไฟล์ซ้ำอีกครั้ง เพื่อทำการเปลี่ยนให้เป็น FF8 Eyes On Me.mp3 แล้วกด Enter


กดที่ Yes เพื่อยืนยันการเปลี่ยนนามสกุล


เท่านี้ก็จะได้ไฟล์ ที่เป็นนามสกุล .mp3 ที่เป็นของ Winamp แล้ว ซึ่งหลักการเปลี่ยนนามสกุลแบบนี้ สามารถใช้ได้กับทุก ๆ ไฟล์ตามต้องการ เช่นการแก้ไขไฟล์ Skin ของ Winamp รุ่นใหม่ ๆ เพื่อให้ใช้ Play List ภาษาไทย ก็สามารถใช้วิธีนี้ได้เหมือนกัน หากท่านใดไม่ชอบหน้าตาของการแสดงนามสกุลไฟล์ด้วยแบบนี้ หลังจากที่เปลี่ยนนามสกุลของไฟล์ที่ต้องการแล้ว ก็กลับไปเลือกที่ช่อง Hide file extensions for know file types เหมือนเดิมก็ได้

หัวข้อเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง

การ Shutdown และหลักของการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างถูกวิธี

ในการใช้งานระบบปฏิบัติการที่เป็น Windows ต่าง ๆ เช่น Windows95/98 หรือ WindowsMe จะเป็นการใช้งาน โดยการเรียกอ่านข้อมูลต่าง ๆ จากฮาร์ดดิสก์ และนำมาประมวลผลเพื่อใช้งาน และจะมีข้อมูลบางส่วน ที่ต้องทำการเขียน กลับลงไปใน ฮาร์ดดิสก์ด้วย ในตลอดระยะเวลาที่เราใช้งาน Windows อยู่นั้น ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดการใช้งานแล้ว ควรที่จะสั่ง Shutdown ก่อนที่จะปิดเครื่องเสมอ เพื่อให้ระบบทำการเคลียร์พื้นที่ต่าง ๆ ของฮาร์ดดิสก์ให้เรียบร้อยเสียก่อน ที่จะมีการปิดไฟเข้าเครื่องจริง ๆ และนอกจากนั้น การที่เราสั่ง Shutdown จะเป็นการบอกให้ฮาร์ดดิสก์ เตรียมพร้อมสำหรับการ หยุดทำงานต่าง ๆ อีกด้วย หากสังเกตุให้ดี เมื่อเราทำการสั่ง Shutdown จะมีเสียงฮาร์ดดิสก์ดัง ติ๊ก เบา ๆ และมอเตอร์ ของฮาร์ดดิสก์ ก็จะหยุดทำงานทันที เหมือนกับการปิดฮาร์ดดิสก์ แต่ถ้าหากเมื่อไรก็ตามที่เรากดปุ่มสวิทช์เพื่อปิดเครื่อง โดยไม่ได้มีการสั่ง Shutdown จะได้ยินเสียง ของฮาร์ดดิสก์หมุนค้างต่อเนื่องไปดัง ติ้ววววว แล้วค่อย ๆ เงียบ นั่นคือ วิธีการที่ไม่ถูกต้อง คือเหมือนกับว่า ฮาร์ดดิสก์นั้น ยังทำงานต่อเนื่อง แต่อยู่ ๆ ก็ไปปิดไฟที่จะจ่ายให้กับฮาร์ดดิสก์เฉย ๆ อาจจะเป็นสาเหตุให้ อายุการใช้งานของฮาร์ดดิสก์นั้น ลดลงหรือเกิดการเสียหายได้ง่ายขึ้น

การสั่ง Shutdown ปิดเครื่องให้ถูกวิธี

เมนูของการสั่ง Shutdown จะอยู่ที่ Start Menu และเลือกที่ Shutdown ตามตัวอย่างดังรูป

==>

เมื่อ สั่ง Shutdown จะมีเมนูเลือกว่าจะทำการ Shutdown แบบไหน หากต้องการปิดเครื่องไปเลยก็เลือกที่ Shut down แต่ถ้าหากต้องการบูทเครื่องใหม่ก็เลือกที่ Restart หรือหากต้องการเข้าไปสู่ DOS ก็เลือกที่ Restart in MS-DOS mode

สำหรับ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีระบบจ่ายไฟแบบ ATX เมื่อสั่ง Shutdown แล้วเครื่องจะสามารถทำการ ปิดสวิทช์ไฟ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยอัตโนมัติทันที แต่ถ้าหากเป็นระบบจ่ายไฟแบบ AT หรือเครื่องรุ่นเก่า ๆ หลังจากที่สั่ง Shutdown ไปแล้วจะต้องรอสักครู่ ให้ขึ้นข้อความว่า It's now your safe to turn off your computer ก่อนจึงค่อยปิดสวิทช์ไฟของเครื่องคอมพิวเตอร์

จะทำอย่างไร เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ค้าง

เมื่อใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ดี ๆ หากเกิดอาการเครื่องแฮงค์และไม่สามารถใช้งานเมนูของการ Shutdown ได้ อาจจะทดลองกดปุ่ม Ctrl + Alt + Delete ทั้งสามปุ่มพร้อม ๆ กันเพื่อเรียกเมนูของการปิดโปรแกรมต่าง ๆ และเลือกที่ปุ่มกด Shutdown ก็ได้ (หากเครื่องยังสามารถรับรู้การกดคีย์ต่าง ๆ ได้) ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้บ่อยนัก แต่ถ้าหากเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเริ่มจะมีปัญหา มักจะเกิดขึ้นได้บ่อย และถ้าหากเราทำการกด Ctrl + Alt + Delete แล้วยังไม่สามารถกดที่ปุ่ม Shutdown ได้อีกละก็ ให้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Delete ซ้ำอีกครั้ง จะเป็นการสั่งบูทเครื่องใหม่ทันที หากในขณะนั้น ใช้ทุกวิธีแล้วก็ยังไม่สามารถบูทเครื่องใหม่ได้ จึงค่อยกดที่ปุ่ม Reset ที่ตัวเครื่อง (ถ้ามี) เพื่อสั่ง รีบูทเครื่องใหม่ โดยที่ให้ใช้วิธีการกดปุ่มปิดสวิทช์ไฟ Power เป็นวิธีสุดท้ายจริง ๆ เมื่อไม่สามารถกดปุ่มอะไรได้อีกแล้วเท่านั้น

สำหรับเครื่องที่ใช้ ระบบจ่ายไฟแบบ ATX ซึ่งปกติแล้วระบบแบบนี้ จะใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมระบบสวิทช์ปิดเปิดต่าง ๆ แต่ถ้าหากเครื่องคอมพิวเตอร์ค้าง ปกติแล้ว เราจะไม่สามารถทำการกดปิดสวิทช์ไฟได้ (เพราะระบบควบคุมสวิทช์ไม่ทำงานแล้ว) ให้แก้ไขโดยการกดปุ่ม Power ค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีเพื่อสั่งให้ระบบจ่ายไฟปิดตัวเองได้

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าปิดเครื่องโดยไม่ Shutdown

หากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ปิดลงโดยที่ไม่ได้มีการสั่ง Shutdown อย่างถูกต้อง เมื่อเปิด เครื่องคอมพิวเตอร์ ขึ้นมาใช้งานในครั้งต่อไป เครื่องจะมีการตรวจสอบความเสียหายของฮาร์ดดิสก์ก่อน โดยการสั่งทำ Scandisk เพื่อตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ต่าง ๆ หลังจากนั้นจึงจะเรียกระบบ Windows ขึ้นมาใช้งานตามปกติ เราสามารถเข้าไปแก้ไข การตั้งให้เครื่องทำการ Scandisk เมื่อไม่มีการ Shutdown อย่างถูกต้องก็ได้ โดยการเลือกที่เมนู Start Menu และเลือกที่ RUN พิมพ์คำว่า msconfig และกด OK

จะเข้ามาที่เมนูของ System Configuration Utility เลือกที่ปุ่ม Advanced ครับ

ที่ ช่องของ Disable Scandisk after bad shutdown จะเป็นการกำหนดว่า ถ้าหากทีการปิดเครื่องโดยไม่ได้ทำการ Shutdown แล้วจะสั่งให้ทำการ Scandisk หรือไม่

โดยปกติแล้วก็ควรจะปล่อยว่างไว้หรือไม่เลือกที่ ช่องนี้นะครับ เพราะว่าหากมีการปิดเครื่องโดยไม่ได้ทำการ Shutdown แล้วก็ควรที่จะให้เครื่องสั่ง Scandisk เพื่อตรวจสอบความเสียหายของฮาร์ดดิสก์ หรือถ้าไม่อยากรอ ในระหว่างที่ทำการ Scandisk ก็ข้ามขั้นตอนไปได้โดยการกดปุ่ม Enter ขณะที่ Scandisk อยู่ได้ทันทีอยู่แล้ว หรือหากพบว่าในบางครั้ง ช่างที่ประกอบเครื่องให้เราและทำการติดตั้ง Windows มาให้มักจะเลือก Disable ที่ช่องนี้ไว้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีการแสดงการ Scandisk ให้เห็น ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเครื่องนั้นดูเหมือนกับไม่มีปัญหาครับ

Safe Mode คืออะไร

ใน บางครั้ง หากเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อย ๆ เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา แทนที่จะบูทเข้า Windows ปกติ อาจจะมีเมนูให้เลือกต่าง ๆ และมักจะบังคับให้เข้า Windows แบบ Safe Mode แทน ไม่ต้องตกใจนะครับ ให้เลือกบูทเข้า Windows แบบ Safe Mode ครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งจะเป็นหน้าตาของ Windows ที่ดูตัวใหญ่ ๆ หน้าตาจะออกเละ ๆ เพราะว่าเป็นการเรียก Windows แบบที่ไม่มีการเรียก Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ เลย เพื่อเป็นทางเลือกให้เรา สำหรับการหาสาเหตุของความผิดปกติ เช่น มีการลงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหากับเครื่องหรือไม่ หรือว่ามี ฮาร์ดแวร์บางตัวที่ใส่เข้าไป ไม่สามารถทำงานได้โดยปกติ หรืออาจจะเป็นเนื่องจากสาเหตุต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

เมื่อเข้า Safe Mode ได้ปกติแล้วก็สั่ง Shutdown หรือ Restart ใหม่ได้เลยเพื่อเข้าสู่การทำงานใน Mode แบบปกติครับ หากเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่มีปัญหาใด ๆ ก็จะกลับมาใช้งานได้ปกติ เหมือนเดิม

Design of Open Media | Source: Free Blogger Templates